ธนาคารปูม้าชุมชนควบคุมด้วยระบบ IoT RID62
ได้รับการสนับสนุนงบประมาณโครงการ จากสำนักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ร่วมกับ สถาบันไทย – เยอรมัน
ธนาคารปูม้าชุมชนควบคุมด้วยระบบ IoT
พัฒนาโดย : นายเกียรติศักดิ์ เส้งพัฒน์ (089-195-7867)
หน่วยงาน : วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี
คุณสมบัติและสมรรถนะของเครื่อง 1. ถังอนุบาลธนาคารปูม้าทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตรจำนวน 3 ถัง 2. ถังอนุบาลธนาคารปูม้าทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร จำนวน 8 ถัง 3. พลังงานที่ใช้จากโซล่าเซลล์ ขนาด 330 วัตต์ และระบบระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอร์รี่แบบ deep cycle 4. ระบบควบคุมการทำงานแบบอัตโนมัติด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์และระบบ IOT3) มีระบบตรวจสอบค่า PH น้ำและความความเค็มอัตโนมัติ |
ความเป็นมา ธนาคารปูม้าชุมชนบ้านแหลมโพธิ์ หมู่ที่ 5 ตำบลพุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนปูม้าในระบบนิเวศ โดยความร่วมมือของชุมชนในการนำแม่ปูม้าไข่นอกกระดองมาฝากเลี้ยงในถังและกระชัง เพื่อให้แม่ปูสลัดไข่สู่ทะเลต่อไป ซึ่งจากการศึกษาพบว่าในการจัดการธนาคารปูม้าประสบปัญหาหลายประการ ดังนี้ 1) การใช้ถังเลี้ยงแม่ปูม้าซึ่งดัดแปลงจากถังคลอรีนที่มีขนาดใหญ่ทำให้เปลืองเนื้อที่ใช้งาน 2) รูปแบบการเลี้ยงในกระจังมักประสบปัญหาอัตรารอดของลูกปูม้าต่ำ เนื่องจากมีการหลุดจากกระชังรวมถึงการนำไปปล่อยสู่ทะเลโดยตรงทำให้โดนศัตรูทางธรรมชาติจับกิน เช่น ปลาทะเล และ 3) เกิดไฟฟ้าดับบ่อยครั้งทำให้ขาดพลังงานไฟฟ้าในการเติมอากาศส่งผลให้ลูกปูม้าที่อยู่ในระยะฟักเป็นตัวได้ตายจำนวนมาก ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้จำนวนปูม้าในธรรมชาติไม่สามารถเพิ่มขึ้น |
ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ต่อการบริหารจัดการธนาคารปูม้า โดยการออกแบบบ่ออนุบาลปูม้าแบบคอนโดสำหรับติดตั้งบริเวณชายฝั่ง ใช้พลังงานทั้งหมดจากโซล่าเซลล์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานสำหรับ การเติมอากาศและการสูบน้ำ นอกจากนี้มีการเพิ่ม การตรวจวัด รายงานสภาพน้ำและอุณหภูมิอัตโนมัติด้วยระบบไร้สาย มีระบบการปล่อยตัวลูกปูเมื่อมีขนาดที่เหมาะสม(1.0-1.4 เซนติเมตร) (ประมาณ 1 เดือนหลังจากแม่ปูสลัดไข่) โดยขั้นตอนสำหรับการปล่อยลูกปูอัตโนมัตินั้นระบบต้องรอการ ตรวจวัดสภาพความเค็มของน้ำต้องอยู่ในช่วง 25 – 32 ppt และอุณหภูมิของน้ำไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส โดยรับ-ส่งข้อมูลแบบไร้สายระบบ IoT เมื่อค่าที่วัดได้มีค่าเหมาะสมจึงสั่งให้ระบบปล่อยลูกปูสู่ป่าชายเลน เพื่อให้ลูกปูม้ามีแหล่งหลบภัยทางธรรมชาติก่อนกลับสู่ทะเลต่อไปทั้งนี้เพื่อเพิ่มอัตรารอดเพิ่มขึ้น และที่สำคัญมีระบบกรองบำบัดน้ำเพื่อให้น้ำมีความสะอาดและลดเชื้อโรค โดยกระบวนการและขั้นตอนทั้งหมดดังกล่าวจะทั้งนี้นวัตกรรมดังกล่าวจะส่งผลให้มีปูม้าในธรรมชาติสูงขึ้น สามารถเพิ่มรายได้และความมั่นคงในอาชีพของชุมชนและสามารถขยายผลในธนาคารปูม้าทั่วประเทศในภาพรวมต่อไป
จุดเด่นของของธนาคารปูม้าชุมชนควบคุมด้วยระบบ IoT 1) สามารถเพิ่มจำนวนปูม้าในระบบนิเวศ ส่งผลต่อรายได้ของชุมชนและห่วงโซ่อาหารปูม้าในภาพรวม 2) ลดพื้นที่การใช้สอย รวมถึงเพิ่มอัตรารอดของลูกปูม้าสูงขึ้น 3) ประยุกต์เทคโนโลยีทางการเกษตรร่วมกับเทคโนโลยี IoT สอดคล้องกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 4) ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ไม่น้อยกว่า 2000 KWh/ปี และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1400 kgCO2e 5) สามารถประยุกต์สู่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำประเภทอื่น เช่น ธนาคารหมึกไข่ ลูกเต่าทะเล เป็นต้น |
หลักการทำงานของเครื่อง 1) สูบน้ำและพักไว้ที่ถังที่ 1 2) สั่งปล่อยน้ำถังที่ 1 ให้กับถังปูม้าจำนวน 8 ถัง ทั้งถังอนุบาลลูกปูจำนวน 1 ถัง 3) นำปูม้าที่มีไข่หน้าท้องใสในถังปูม้าจำนวน 8 ถัง รอให้ปูสลัดไข่ออกจากหน้าท้อง 4) ระบบทำการตรวจสอบความเค็มของน้ำรวมถึงค่า PH และทำการสั่งปล่อยปูอัตโนมัติหรือเลิกสั่งการด้วยระบบโทรศัพท์มือถือ |
ขนาดมิติและน้ำหนักของเครื่อง ขนาดมิติ เครื่องจักรมีขนาด 1x1.2x1.8 เมตร(กxยxส) และมีขนาดของชุดโครงสร้างชุดโซล่าเซลล์ 1.25x1x1.6 เมตร(กxยxส) โดยมีพื้นที่สำหรับพื้นที่ติดตั้ง และทำงานไม่น้อยกว่า 3x3x2เมตร (กxยxส)และน้ำหนักของเครื่อง 100 กิโลกรัม |
ราคาเชิงพาณิชย์ ราคาขาย 120,000 บาท/เครื่อง |
การใช้งาน /การดูแลรักษา
1) การใช้งาน
1.1) สูบน้ำและพักไว้ที่ถังที่ 1
1.2) สั่งปล่อยน้ำถังที่ 1 ให้กับถังปูม้าจำนวน 8 ถัง ทั้งถังอนุบาลลูกปูจำนวน 1 ถัง
1.3) นำปูม้าที่มีไข่หน้าท้องใสในถังปูม้าจำนวน 8 ถัง รอให้ปูสลัดไข่ออกจากหน้าท้อง
1.4) ระบบทำการตรวจสอบความเค็มของน้ำรวมถึงค่า PH และทำการสั่งปล่อยปูอัตโนมัติหรือเลิกสั่งการด้วยระบบโทรศัพท์มือถือ
2) ข้อควรระวัง/คำเตือน ในการใช้งาน
2.1) ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าไม่ให้ดับซึ่งจะทำให้ลูกปูม้าตายได้
2.2) ควรวางในพื้นที่ที่ใกล้กับป่าโกงกางเพื่อให้ลูกปูม้ามีแหล่งหลบภัย ตามธรรมชาติ
3) การบำรุงรักษา
3.1) ควรมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาปีละครั้ง
3.2) ควรมีการเคลือบผิววัสดุด้วยนาโนเพื่อป้องกันสนิมและฝุ่น