Masayoshi Son เจ้าของ SoftBank ....Entrepreneur ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น

No replies
admin5
Offline
Joined: 05/06/2012

ธุรกิจของทั้ง Gates และ Jobs ขยายไปไกลทั่วโลก
สร้างพันธมิตรทางธุรกิจมากมาย ร่วมกับคนหลากหลาย

ที่ญี่ปุ่น...ทั้งคู่ก็ได้เป็นเพื่อนทางการค้า กับนักธุรกิจคนหนึ่ง
นักธุรกิจคนที่ว่าคือ Masayoshi Son ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท SoftBank

ใครที่เคยไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นต้องคุ้นเคยกับ shop ขายมือถือของ SoftBank อย่างแน่นอน
เพราะไปไหนก็เห็น เต็มบ้านเต็มเมืองญี่ปุ่นจริงๆ



หน้าตาของ Masayoshi Son ครับ



Masayoshi Son กับ Jobs


Masayoshi Son ได้ชื่อว่าเป็น "Bill Gates" แห่งญี่ปุ่น
เพราะสร้างเนื้อสร้างตัว จากไม่มีอะไร
จนร่ำรวยมหาศาลจากธุรกิจซอฟต์แวร์และธุรกิจอินเตอร์เน็ต

จนถึงจุดหนึ่ง Masayoshi Son ได้ชื่อว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในญี่ปุ่นและเอเชีย
ปัจจุบัน เขารวยเป็นอันดับที่ 3 ของญี่ปุ่น
มีสินทรัพย์ประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาทไทย


เห็น Gates มี "Technomansion" บ้านที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี

Masayoshi Son ก็ของสร้างบ้าง
และเรียกมันว่า "Tokyo Technomansion"

Gates ถูกเชิญไปเยี่ยมเยียน "Tokyo Technomansion" ของ Masayoshi Son
และถึงกับออกปากร้อง Wow!!!

เพราะ Masayoshi Son ถึงกับสร้างสนามซ้อมกอล์ฟไว้ที่บ้าน
และใช้เทคโนโลยี่ ที่สามารถสร้างและจำลองบรรยายกาศ
แบบหมอกของสนาม Pebble Beach หรือจะสร้าง Dogleg ของสนาม Augusta ก็ได้ ให้กับสนามซ้อมกอล์ฟของเขา

แบบนี้แล้ว จะให้คนบ้ากอล์ฟอย่าง Gates ไม่ร้อง Wow ได้อย่างไร


ผมพยายามหาภาพ บ้านที่เรียกว่า "Tokyo Technomasion" ของ Masayoshi Son มาให้ดูกัน
แต่ก็จนปัญญา เพราะไม่มีรูปสนามซ้อมกอล์ฟส่วนตัว สุด Hi-Tech ที่ว่านี้ หลุดออกมาให้ได้ชมกันเลย
อยากรู้ว่า เจ้าสนามซ้อมนี้ มันสามารถ จำลองบรรยายกาศแบบหมอกของสนาม Pebble Beach 
หรือจะสร้าง Dogleg ของสนาม Augusta นี้ ได้อย่งไร หรือหน้าตามันจะเป็นยังไงกันแน่

ถึงกับลงทุนสร้างสนามซ้อมไว้ที่บ้านขนาดนี้ แสดงว่า มหาเศรษฐีที่เคยร่ำรวยลำดับที่ 8 ของโลกรายนี้
ต้องบ้ากอล์ฟอย่างแน่นอน
ชีวิตของ Masayoshi Son เอง เป็นชีวิตที่น่าสนใจมากครับ
คนญี่ปุ่น เชื้อสายเกาหลีรายนี้ สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างน่าทึ่ง
จากครอบครัวเกาหลีอพยพยากจนทางตอนใต้ของญี่ปุ่น
Masayoshi Son ผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนใน internet รายสำคัญของโลก


ทุกวันนี้, Masayoshi Son ไม่ได้แค่โด่งดังจากการร่ำรวยด้วยลำแข้งของตัวเองเท่านั้น
แต่ก็โด่งดังในฐานะคนที่เจ๊งและสูญเสียเงินทองกับธุรกิจ Internet มากที่สุดในโลก เช่นกัน
ว่ากันว่า ในปีที่ฟองสบู่ของธุรกิจดอทคอมแตกในปี พ.ศ. 2543
บริษัท SoftBank ของ Masayoshi Son จากที่มีมูลค่าทางตลาดประมาณ 5.4 ล้านล้านบาท (5,400,000,000,000 บาท)
มูลค่าทางตลาดของ Soft Bank ต้องสูญหายไปเกือบ 98% 
คงเหลือมูลค่าแค่ 6 แสนล้านบาทเอง (630,000,000,000 บาท)
ว่าไป มันก็ยังเยอะอยู่ดีอ่ะนะ

ทุกวันนี้ Masayoshi Son อายุ 56 ปี และถ้าแกเริ่มทำงานตอนอายุ 20 ปี
แสดงว่าแก ใช้เวลาแค่ 36 ปีในการสร้างบริษัท SoftBank ให้เป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ Internet ระดับโลก
ทุกวันนี้แกกำลังยุ่งกับการวางแผนธุรกิจล่วงหน้า 300 ปี ให้กับ SoftBank
ใช่ครับ เขียนไม่ผิดครับ 300 ปีครับ
Masayoshi Son คิดว่า internet จะอยู่กับมนุษย์ไปอีกนานขนาดนั้นเชียว
ลงทุนกับธุรกิจที่เกี่ยวกับ Internet จึงเป็นเรื่องฉลาดที่ SoftBank ควรทำ

เพื่อให้อยู่ที่ญี่ปุ่นอย่างสบายตัว ครอบครับของ Masayoshi Son ต้องปกปิดความเป็นคนชาวเกาหลีไว้
ถ้ารู้ว่าเป็นคนเกาหลี ปฏิกริริยาของคนในชุมชนต่อครอบครัวจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง
คนเกาหลีที่อพยพไปตั้งรกรากที่ญี่ปุ่นล้วนแต่ต้องปกปิดความเป็นคนเกาหลีของตน
ถ้าไม่บอกว่าเป็นคนเกาหลี ก็ไม่มีใครแยกได้ เพราะหน้าตาเกาหลีกับญี่ปุ่นก็ไม่ต่างกันมาก


จะใช้นามสกุล Son ก็ไม่ได้ เพราะ Son เป็นแซ่ของคนเกาหลี
ไม่มีญี่ปุ่นคนไหนที่ใช้นามสกุลนี้เลย
พ่อของ Masayoshi Son เลยต้องให้ทุกคนในครอบครัวหันมาใช้นามสกุลที่บ่งบอกว่าเป็นญี่ปุ่นแทน
ซึ่งนามสกุลที่ว่า ก็คือ นามสกุล "Yasumoto"
ถ้าไม่หลบซ่อนความเป็นเกาหลีนี้ไว้
เพราะสมัยนั้น ความไม่ถูกโฉลกของคนณี่ปุ่น ที่มีต่อคนเกาหลีมีมากนัก
อาจทำให้การดำรงชีพในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความยากลำบาก







การที่ต้องคอยหลบ ซ่อนตัวตนของตัวเองแบบนี้ มันเป็นปมด้อยที่อยู่ในใจของ Masayashi Son มาโดยตลอด
และเขาจะไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้

รู้ตัวดีว่า ถ้าต้องหลบซ่อนตัวตนของตน ในสังคมญี่ปุ่นแบบนี้ 
เขาจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิตเลย

เมื่อ Masayoshi Son อายุครบ 16 ปี
เขาออกเดินทางไปอเมริกา เพื่อไปหาโอกาสชีวิตที่ดีกว่า
เกาะญี่ปุ่นเล็กเกินไปแล้วสำหรับเขา


Masayoshi Son เป็นคนหัวดีและเรียนเก่ง
ที่อเมริกา เขาสามารถดำรงชีพและศึกษาจนจบปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์
จากมหาลัย University of California, Berkeley
เห็นว่า คอมพิวเตอร์เทคโนโลยี จะเป็นทางทำมาหากินในอนาคต
Masayoshi Son จึงทุ่มสุดตัวกับเรื่องนี้
และเขาก็สามารถกลับมาประสบความสำเร็จได้ที่ญี่ปุ่น ประเทศบ้านเกิดของเขา


ใช่ว่าที่อเมริกาไม่มีเรื่องดูถูกด้านเชื้อชาติแบบที่ญี่ปุ่น 



แต่เพราะ Masayoshi Son ใช้ชีวิตในแวดวงการศึกษาและมหาวิทยาลัย

เรื่องนี้ก็เลยดูเบาบางลงไป



แต่มันไม่ใช่กับครอบครัวของ Tiger Woods ในวัยเด็ก

.

.

.







พ่อของ Tiger Woods เกิดในสมัยที่อเมริกายังมีกฎหมายแบ่งแยกด้านสีผิวอยู่

ตอนนั้น ในบางรัฐ คนดำไม่อนุญาติให้ร่วมกินข้าวในที่เดียวกันกับคนขาว



พ่อของ Tiger เป็นนักกีฬาเบสบอลให้กับมหาวิทยาลัย

มันก็ต้องเป็นทีมเบสบอลที่มีทั้งคนขาวและดำ เล่นร่วมเป็นทีมเดียวกัน



แต่ตอนพัก คนดำไม่ได้รับอนุญาติให้ร่วมใช้โรงอาหารเดียวกันกับคนขาว

อย่าว่าแต่กินข้าวโต๊ะเดียวกันเลยนะครับ



พ่อของ Tiger และเพื่อนผิวสี ต้องแยกไปกินกันเองต่างหาก

.

.

.







เมื่อมาถึงรุ่นลูก แม้กลิ่นไอเรื่องการดูถูกด้านสีผิวจะเจื่อจางไป แต่มันไม่หมด

ประสบการณ์ตรงของเรื่องนี้ เกิดขึ้นกับตัวของ Tiger Woods เมื่อเขาเข้า ป. 1



เพราะ Tiger Woods เป็นคนผิวสี คนเดียวในโรงเรียน

เขาถูกเพื่อนและรุ่นพี่จับเขามัดติดไว้กับต้นไม้และถูกรุมขว้างของใส่

มันเกิดขึ้นตอนพักเที่ยง



Tiger Woods ในวัยเด็ก ป. 1 คงไม่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายสักเท่าไร

เขาเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ไม่ได้บอกพ่อของเขา



เด็กป. 1 อายุ 5-6 ขวบ คงเก็บเรื่องแบบนี้ไว้ในใจได้ไม่นาน

หลังจากผ่านไป 2-3 วัน อาการซึมมันบอก



พ่อและแม่คงสังเกตุเห็น และได้ซักถามจนทราบเรื่อง

พ่อของ Tiger ได้ไปพบครูใหญ่เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง



ครูใหญ่ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่

และได้ลงโทษเด็กนักเรียนรุ่นพี่ที่ได้การ

ครูที่อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุก็ถูกลงโทษด้วย เพราะไม่ห้ามและระงับเหตุ

.

.

.







ด้วยความสำเร็จที่โดดเด่นในอาชีพของเขาทั้งสอง



ทำให้อคติเรื่องเชื้อชาติและสีผิวที่เคยเกิดขึ้นกับทั้ง Masayoshi Son และ Tiger Woods

ถูกแทนที่ด้วยความชื่นชมในวิริยะ อุตสาหะ ที่ทั้งคู่มี



ผมไม่รู้ว่า พลังที่ทั้งคู่มี และได้พาพวกเขามาไกลได้ขนาดนี้

ส่วนหนึ่ง มันมาจาก ความอยากเอาชนะทัศนคติที่แย่ของสังคมที่มีต่อตัวเขาหรือเปล่า?

.

.

.









กลับจากไปเรียนที่อเมริกา Masayoshi Son ได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมา

และให้ชื่อว่า SoftBank



SoftBank ก็เติบโตเรื่อยมา

แม้จะมีพลาดไปบ้าง อย่างที่เล่าตอนต้น

.

.

.


ในปี พ.ศ. 2533 Masayoshi Son ในวัย 33 พร้อมแล้วที่จะเดินไปขอสัญชาติญี่ปุ่น จากทางการญี่ปุ่น



เพราะไม่ต้องการ ที่จะปกปิดความเป็นคนเชื้อสายเกาหลีอีกต่อไปแล้ว 

Masayoshi Son ขอใช้ แซ่ "Son" แทนนามสกุล "Yasumoto" ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของพ่อ



เจ้าหน้าที่ของทางการญี่ปุ่นตรวจดูเอกสารและฐานข้อมูลดีแล้ว

ก็ได้ตอบปฏิเสธ คำของของ Masayoshi Son



ถ้าอยากได้สัญชาติญี่ปุ่น ต้องใช้นามสกุลของคนญี่ปุ่นเท่านั้น

จะไม่อนุญาติให้ใช้นามสกุลอื่นใด ที่ไม่มีคนญี่ปุ่นแท้คนไหนใช้กันอยู่



แต่ไม่เป็นไร สำหรับเขา ในวันนี้

เพราะพรุ่งนี้ เขาจะกลับมายื่นคำขอ ขอใช้นามสกุล "Son" อีกครั้ง

และครั้งนี้ มันต้องได้ 



.

.

.







Masayoshi Son กลับมาตามสัญญา

และขอใช้นามสกุล "Son" อีกครั้ง



และครั้งนี้ เขาสามารถใช้ "Son" เป็นนามสกุลของเขาได้

เพราะมีคนญี่ปุ่นแท้ อย่างน้อยหนึ่งคนที่ใช้ "Son" เป็นนามสกุล



คนญี่ปุ่นหนึ่งเดียวที่ใช้ "Son" เป็นนามสกุล ก็คือ เมียชาวญี่ปุ่นของเขานั้นเอง!



เมื่อวาน เมื่อทราบข้อจำกัดเรื่องนี้ Masayoshi Son บอกให้เมียไปเปลี่ยนนามสกุลเป็น "Son" ไว้ล่วงหน้า

กลับมาขออีกครั้ง เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นตรวจฐานข้อมูลใหม่จึงพบว่า มีคนญี่ปุ่นใช้นามสกุล "Son" อยู่ในฐานข้อมูลเรียบร้อย



ไม่รู้จะอ้างอะไรได้อีก 

ท้ายที่สุด ทางการญี่ปุ่นจึงต้องยอมให้ มีการใช้นามสกุลเกาหลีแก่ Masayoshi Son



รอผู้รู้จริงเรื่องนี้มายืนยันอีกครั้งนะครับ

แต่นามสกุล "Son" อาจจะเป็นนามสกุลเกาหลีนามสกุลแรกในสารบบของชาติญี่ปุ่นก็เป็นได้







และนี้ก็คือเรื่องราวของ Masayoshi Son

หนึ่งใน entrepreneur ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น

.

.

.