วิวัฒนาการเทคโนโลยี

No replies
admin5
Offline
Joined: 05/06/2012

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี

สาระสำคัญ

เทคโลโนยีในปัจจุบันมีความเจรฺญก้าวหน้า ทำให้มนุษย์มีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมต่างๆ กันออกไป ทำให้เกิดเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้นเรียกว่า เทโนโลยีท้องถิ่น และมีการปรับปรุงเทคโนโลยีให้เหมาะสมกีบการดำรงชีวิตในท้องถิ่นของตน

ความหมายของเทคโนโลยี

เทคโนโลยี (Technology) ภาษาลาตินว่า TEXERE แปลว่า การสาน การสร้าง ภาษากรีกว่า TECHNOLOGIA แปลว่า การกระทำอย่างมีระบบ มีความหมายว่า การนำเอาความรู้ แนวความคิด ประสบการณ์ที่เป็นระบบระเบียบวิธีการ รวมทั้งผลิตผลด้านวิทยาศาสตร์ ผลิตผลด้านวิศวกรรมหรือผลการประดิษฐ์คิดค้น มาประยุกต์ใช้กับงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral) ที่สามารถสัมผัสได้ โดยจะประกอบด้วยอุปกรณ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการประมวลผลข้อมูล การรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่จับต้อง สัมผัส และสามารถมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม มีทั้งที่ติดตั้งภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ (Case) และ เชื่อมต่อภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์

ซอฟต์แวร์ (software)หมาย ถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของ คอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้

วิวัฒนาเทคโนโลยี (Evolution of Technolgy ) เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไป ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับกระบวนการทางวิวัฒนาการ (Evolution) ของระบบหรือเครื่องมือนั้น ๆ ดังนั้นคำว่า วิวัฒนาการของเทคโนโลยี (Evolution of Technology ) จึงหมายถึง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบหรือเครื่องมือที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนและ มีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับอย่างต่อเนื่องอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยตาง ๆ วิวัฒนาการสามารถแบ่งได้เป็น 5ยุค ดังนี้

1. ยุคหิน (Stone age)เป็น ยุคแรกของมนุษย์ที่มีการใช้เครื่องมือซึ่งทำมาจากหินทั้งสิ้น เช่นอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้หรือเครื่องใช้ภายในครัวเรือนชนิดต่าง ๆ เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้ทำมาจากหินก่อนที่จะมีการใช้โลหะในเวลาต่อมา ระยะเวลาของยุคหินในแต่ละทวีปบนพื้นโลกมีความแตกต่างกันดังได้กล่าวมาแล้ว และระยะเวลาการเกิดของยุคหินในแต่ละที่ก็มีอิทธิพลโดยตรงต่อมนุษย์ด้วยเช่น กัน ดังนั้นจึงได้แบ่งยุคหินออกเป็น 3 ระยะ

ระยะพาลีโอลิค(Paleolitthic) หรือ Old Stone Age เป็น ช่วงที่มีความยาวนานมากที่สุด่ของยุคหิน โดยได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดเมื่อยุคน้ำแข็งได้สิ้นสุดลงเมื่อประมาณ 13,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์ยุคนี้ได้นำหินมาทำเป็นอาวุธ และได้พบหลักฐานว่ามนุษย์ถ้า โครแมนยอง (Cro-Magnon) ในทวีปยุโรปได้วาดภาพซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ต่าง ๆ ในช่วงปลายของระยะนี้

ระยะมีโซลิติค( Mesolithic) หรือ Middle Stone Age เป็นช่วงหลัง 13,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นบนพื้นโลกส่งผลให้มีความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร เพิ่มมากขึ้น จึงมีเครื่องมือเครื่องใช้หลายชนิดที่ทำด้วยก้อนกรวด ก้อนหิที่ได้มาใชีวิตประจำ

ระยะนีโอลิติต (Neolithic ) ระยะ นี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 8,000ปีก่อนคริสต์ศักราช มนุษย์ยุคนี้ได้นำสังคมเกษตรกรมเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องมือที่ใช้ในครัวเรือนบางชนิดได้มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการเริ่มใช้ โลหะบางชนิดใน ได้มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการเริ่มใช้โลหะบางชนิดในช่วงปลายของระยะนี้

2. ยุคทองสัมฤทธิ์ ( Bronze age )ได้ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เชื่อกันว่าเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำจากทองสำเริดได้เริ่มมีขึ้นครั้งแรกใน แถบตะวันออกกลาง(Middle East) และในทวีปยุโรปโดยเริ่มที่ประเทศกรีก ในทวีปเอเชียยุคทองสำริดได้เริ่มขึ้นทีประเทศจีนเมื่อประมาณ 1,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในทวีปอเมริกายุคทองสำริดได้เริ่มขึ้นเมื่อ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราชในประเทศไทย ได้มีการค้นพบเครื่องมือบ่างชนิดที่ทำด้วยทองสำริด เช่นใบหอก ขวาน กำไล และเบ็ดตกปลา เป็นต้น ที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุบลราชธานี และที่ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครและจากการค้นพบวัตถุโบราณชนิดนี้ทำให้เชื่อว่ายุคทองสำริดเกิด ขึ้นมานานแล้วประมาณ 4,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ยุคทองสำริดในตะวันออกกลางและแถบเมดิเตอร์เรเนียนแบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้.

ระยะต้น (Eaarly Bronze age) โลหะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในชีวิตประจำวันมากขึ้นซึ่งเป็นยุคของชูบาเรียน ซิวิไลเซซัน( Sumaian Civilzation)

ระยะกลาง (Middle Brone age) เป็นยุคของบาบิโลน (Babylon) ชาวบาบิโลนนอกจากรู้จักใช้โลหะแล้ว ยังเป็นผู้ให้กำเนิดวิธีการทำนายชะตาชีวิตมนุษย์โดยดูจากอิทธิพลของดวงดาว หรือโหราศาสตร์ โดยมีหลักฐานหินปักเขตรูปเทพเจ้าต่าง ๆ ที่ค้นพบ

ระยะสุดท้าย (Late Bronze age) เป็นยุคของไมโนแอน ครีท (Minoan crete) และ ไมซีนาเอน ครีซ(Mycenaean Creece)

3. ยุคเหล็ก (Iron age)เป็น ยุคที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ มีการนำเอาเหล็กเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์และอาวุธยุทโธปกรณ์แทนทองสัมฤทธิ์ซึ่งมีการใช้แพร่หลายกันในยุคทอง สัมฤทธิ์ ยุคนี้ได้นำเหล็กมาใช้มากขึ้นเมื่อมีการนำเตาเผาซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการ หลอมโลหะบางชนิด จนทำให้เหล็กกลายเป็นวัสดุที่สำคัญที่ใช้ในการผลิตวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ ของมนุษย์

4. ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrial Revolution)
ใน ยุคนี้เทคโนโลยีเจริญรุดหน้ามาก คือ เทคโนโลยีด้านพลังงาน (Energy Technology) มีการสร้างกังหันลมและใช้พลังงานไอน้ำสำหรับการทำงานของเครื่องจักรกล และการค้นพบความรู้เรื่องไฟฟ้าเป็นผลให้คิดค้นสร้างเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ความรู้การถลุงแร่ทำให้เกิดโลหะวิทยาและเกิดเทคโนโลยีต่าง ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ มีการสร้างโรงงานทอผ้าที่ใช้ความรู้ทางเคมีกับเรื่องสิ่งทอ ในตอนปลายของยุค วิศวกรโรงงานต่าง ๆ พัฒนาสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น สะพาน เขื่อน ท่อ การสื่อสารและคมนาคม เช่น ก่อสร้างถนน ขุดคลอง กิจการรถไฟ การสื่อสาร ระบบการพิมพ์ การถ่ายภาพ โทรเลข โทรศัพท์ เทคโนโลยีในยุคนี้ก้าวหน้ารวดเร็วมาก ส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีตามความต้องการของสังคมอุตสาหกรรมขณะนั้น

5. ยุคศตวรรษที่ 20 (The 20th Century)ยุค นี้ถือเป็นการเจริญเติบโตอย่างมากหรือยุคทองทางด้านเทคโนโลยีอย่างมากกระบวน การผลิตทางเทคโนโลยีได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 กระบวนการต่าง ๆ ที่นำไปสู่การเจริญเติบโตแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน

1. ความเข้าใจพื้นฐาน (Basic information)

2. การให้ความรู้ด้านเทคนิค (Technical education)

3. การประเมินผลด้านเทคโนโลยี (Assessment of technology )

4. อนาคตของเทคโนโลยี (Outlook)

ยุคนี้เริ่มจากการบิน การส่งจรวด ความรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์และระเบิดปรมาณู การประดิษฐ์คิดค้นวัสดุใหม่ ๆ ซึงมีทั้งสร้างสรรค์และทำลายสังคม การพัฒนาวิทยาการการบินและเทคโนโลยีทางอวกาศก้าวหน้ามาก เกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายแขนง ทำให้มีการคิดค้นสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด

รูปแบบของเทคโนโลยี มี 3รูปแบบคือ

1. เครื่องจักรกลพื้นฐาน เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตวัตถุดิบเช่น เครื่องจักรกลพื้นบ้าน , เครื่องยนต์ และเครื่องทางอิเล็กทรอนิกส์

2. แบบผลิต เป็นเทคโนโลยีสำเร็จรูปที่ถูกสร้างโดยการสร้างแบบขึ้นมาหลายลักษณะเช่น แบบหล่อ ,แบบทาบ , แบบพิมพ์ และแบบโครงสร้างเหมือน

3.กระบวนการผลิต หมายถึงขั้นตอนการผลิตที่มีเทคโนโลยีการผลิต

เทคโนโลยีท้องถิ่น หมายถึง การประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆหรือทำในสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น และคนในท้องถิ่นยอมรับแล้วนำออกใช้ ภายใต้คุณสมบัติ 4ประการ คือ ขนาดเล็ก เรียบง่าย ประหยัด ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และธรรมชาติ

ระดับของเทคโนโลยี อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

1.เทคโนโลยีระดับต่ำ ( LowTechnolOgy )ส่วนมากเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แต่งเดิมตั้งแต่ยุคโบราณ เช่น ครกตำข้าว ยาสมุนไพร เรือพาย กระต่ายขูดมะพร้าว

2.เทคโนโลยีระดับกลาง(Intermdiate TechnolOgy)เกิด จากการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีระดับต่ำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาก ขึ้น เช่นเครื่องพ่นสารเคมี รถเกี่ยวข้าว เครื่องบูดมะพร้าว

3.ระดับสูง(High TechnolOgy)เป็น เทคโนโลยีที่ได้มาจากประสบการณ์อันยาวนานมีความสลับซ้อน เพราะเป็นความสามารถในการปรับปรุงแก้ไข เช่น ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน การตัดต่อพันธุกรรม การโคลน

ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ ภูมิปัญญาชาวบ้านหมาย ถึง ความรู้ของชาวบ้านในท้องถิ่น ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมทั้งความรู้ที่สั่งสมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์และเปลี่ยนแปลง จนอาจเกิดเป็นความรู้ใหม่ตามสภาพการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

ภูมิปัญญาเป็นความรู้ที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมซึ่ง สอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านในวิถีดั้งเดิมนั้น ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หากแต่ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน การทำมาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี
ความรู้เป็นคุณธรรมเมื่อผู้คนใช้ความรู้นั้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนกับคนคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

ความ สัมพันธ์ที่ดีเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไม่ทำร้ายทำลายกัน ทำให้ทุกฝ่ายทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผู้นำ คอยให้คำแนะนำตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ้านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้ำ ป่า เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ้านเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว